บทความ : วิบากรัก


วิบาก
                                                             วิบากรัก

        หากจะพูดถึงความรัก เชื่อว่าทุกคนล้วนใฝ่ฝันในความรักที่ดีกันทั้งนั้น หากแต่ความรักของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป ในที่นี้ก็จะมีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุ เรามักจะได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดถึงเรื่องราวความรักในหลายแง่มุม หนึ่งในนั้นคงหลีกหนีไม่พ้นความรักในแง่มุมของความเป็นพุทธศาสนา นั่นคือ เรื่องของบาป บุญ คุณ  โทษ รวมไปถึงเรื่องราวที่มีเรื่องของ “เวรกรรม” เข้ามาเกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การเกิดสำนวน สุภาษิตขึ้น เช่น บุญทำกรรมแต่ง หรือสำนวนในทางพุทธศาสนา เช่น น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ     ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ : ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำแล้วนั้นไม่ดี หรือ สเจ ปุพฺเพกตเหตุ    สุขทุกฺขํ นิคจฺฉติ โปราณกํ กตํ ปาปํ     ตเมโส มุญฺจเต อิณํ : ถ้าประสบสุขทุกข์ เพราะบุญบาปที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ ชื่อว่าเปลื้องบาปเก่าที่ทำไว้ ดุจเปลื้องหนี้ ฉะนั้น สำนวนเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากความเชื่อเรื่องบุญและกรรมของคนไทยทั้งนั้น ใครที่เกิดมาได้คู่ครองดีโบราณท่านว่าเมื่อชาติที่แล้วได้ทำบุญมาดี สั่งสมแต่กรรมดีเลยส่งผลให้ชาตินี้ได้พบเจอเนื้อคู่ดี เรียกว่า คู่บุญ แต่หากผู้ใดได้คู่ไม่ดี ชีวิตครอบครัวพบเจอแต่ปัญหา ทะเลาะ ทุบตีกัน โบราณท่านก็ว่านี่เป็นคู่เวรคู่กรรม ซึ่งคู่รักทั้งสองกลุ่มนี้ต่างก็ทำบุญทำกรรมร่วมกันมาทั้งนั้น จึงได้มาประสบพบเจอกันอีกในชาตินี้ และเนื่องจากคนไทยอยู่ด้วยความเชื่อและมีความศรัทธาในเรื่องกรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแม้แต่เรื่องของความรัก ซึ่งตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธควรมีศรัทธา ๔ อย่าง คือ
          ๑. กัมมสัทธา เชื่อในเรื่องกรรม เชื่อว่ากรรมมีจริง
          ๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม คือ เชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมให้ผลเสมอ
          ๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของของตน คือ เชื่อว่าผลที่เราได้รับเป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ
          ๔. ตถาคนโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ ละพระมหากรุณาคุณ
          จะเห็นได้ว่าในความเชื่อหรือศรัทธา ๔ อย่าง เป็นความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับกรรม ๓ อย่าง  กฏแห่งกรรมจึงเป็นคำสอนที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนจึงควรเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม พยายามศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม ชาวพุทธที่ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม หาใช่ชาวพุทธที่แท้จริงไม่ เขาเป็นเพียงชาวพุทธแต่เพียงในนาม ศาสนาพุทธมีประโยชน์แก่เขาเพียงใช้กรอกแบบฟอร์ม เพื่อไม่ให้ถูกว่าเป็นคนไม่มีศาสนาเท่านั้นเอง คนที่เชื่อในเรื่องกรรมย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ คนที่เชื่อในเรื่องกรรมย่อมสามารถอดทนรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง ความขมขื่นและเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้ เพราะถือว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี คนที่เชื่อในเรื่องกรรมจะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่น จะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ คนที่ประกอบกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนใหญ่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ และความสุขสบายให้แก่ตัวโดยไม่คำนึงว่า ทรัพย์สมบัติหรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ เช่นเดียวกับความรักความรู้สึกและความทรงจำเรื่องความรักของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกรรมและประสบการณ์ที่พบเจอของแต่ละคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำทั้งสิ้น และไม่มีใครคนไหนต้องการให้ตัวเองพบเจอกับความทุกข์และความผิดหวังที่เกิดมาจากความรัก ทุกคนล้วนแต่ต้องการความรักดีๆ ความรักที่สุขสมหวังกันทั้งสิ้น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นวนิยายเรื่อง เจ้านาง

          เจ้านาง ผลงานการประพันธ์ของ ณารา หรือ ณิชา  ตันติเฉลิมสิน นักเขียนโรมานซ์ของสำนักพิมพ์พิมพ์คำ ซึ่งนวนิยายเรื่องเจ้านางนี่เป็นนวนิยายแนวโรแมนติก อิงประวัติศาสตร์ของ   อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ นวนิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นจากการรับปากกับผู้เป็นแม่ของตัวนักเขียนเอง เนื่องจาก ณารา หรือ คุณณิชา  ตันติเฉลิมสิน เป็นคนอำเภอฝางโดยกำเนิด ผู้เป็นแม่จึงอยากให้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าพญาฝางและพระนางสามผิว แต่เธอก็ไม่สามารถคิดพลอตเรื่องได้ จนกระทั้งแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ ต้องทำการผ่าตัดสมอง เธอจึงคิดและเชื่อว่าด้วยเหตุนี้อาจเป็นสิ่งที่ชักนำให้เธอได้กลับมายังบ้านเกิดของตนเอง นั่นคือ อำเภอฝาง และเป็นที่มาของเรื่องราวในนวนิยายเรื่องเจ้านาง นี่อาจจะเป็นเรื่องราวบังเอิญหรือจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วเธอก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอตั้งใจและพยายามแต่งเรื่องเจ้านางจนจบคือแม่ของเธอ
          นวนิยายเรื่องเจ้านางถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละคร คือตัวละครเอกของเรื่อง นั่นก็คือ   เกตุแก้ว สาวน้อยนักเขียนที่เดินตามเสียงเพรียกแต่ปางก่อนให้มาสู่เมืองฝาง ดินแดนแห่งอดีตชาติที่ผ่านพ้นมากว่า ๓๗๐ ปี ด้วยวิบากกรรมจากชาติภพเดิมที่เธอผู้เป็นเจ้านางเฮือนแก้วได้ก่อไว้ ทำให้เธอต้องกลับมาประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ด้วยเหตุนี้เธอจึงดูจะสนอกสนใจเรื่องราวของพระนางสามผิวและเจ้าพญาฝางเป็นพิเศษ และตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เธอจะต้องเขียนเรื่องราวของพระนางสามผิวและเจ้าพญาฝางให้จงได้
          รวินทร์ นายแพทย์หนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสองจึงเข้ามาเป็นผู้ดูแลเธอด้วยหัวใจที่ผูกพัน ด้วยคำมั่นสัญญาที่มีต่อเธอตั้งแต่ชาติปางก่อน ผลกรรมในอดีตที่กำลังส่งผลต่อชาติปัจจุบันจึงมีเดิมพันที่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ชีวิตของเธอผู้เป็นที่รัก
          นวนิยายเรื่องเจ้านางเป็นเรื่องราวที่ดำเนินเรื่องด้วยการเล่าย้อนไปในอดีตชาติ การดำเนินเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีตชาติและปัจจุบัน ผ่านความฝันของตัวละคร เรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองฝาง ซึ่งปัจจุบันก็คือ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการ       ผูกเรื่องราวโดยการสร้างตัวละครให้มีความผูกพันกับเมืองฝาง ตัวผู้เขียนได้สร้างปมของเรื่องขึ้นมาโดยการให้นางเอกของเรื่องซึ่งก็คือเกตุแก้ว ประสบอุบัติเหตุตกบ่อน้ำซาววา ซึ่งเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับอนุสาวรีย์พญาฝางและพระนางสามผิว ดินแดนแห่งอดีตชาติที่ผ่านพ้นมากว่า ๓๗๐ ปี ที่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของเธอในอดีตชาติ ด้วยวิบากกรรมจากชาติภพเดิมที่เธอ ผู้เป็นเจ้านางเฮือนแก้วได้ก่อไว้ ทำให้เธอต้องกลับมาประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ทำให้เธอและรวินทร์ได้หวนกลับมาพบกันในวันที่เธอนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และถึงแม้กายจะนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่จิตใจของเธอกลับหวนคืนสู่อดีต ที่ซึ่งมีเธอและรวินทร์ได้เคียงคู่กันผ่านเหตุการณ์ต่างๆด้วยกันมามากมาย ในขณะที่ตัวรวินทร์เองก็ตั้งใจจะดูแลเกตุแก้วให้ดีที่สุดแม้จะไม่เคยได้คุยกันหรือพบเจอกันมาก่อน แต่แปลกทีเขากลับรู้สึกถึงความผูกพันเหมือนรู้จักคุ้ยเคยกับเกตุแก้วเสียเหลือเกิน และสิ่งนี้เองทุกคืนเมื่อเขากลับบ้านไปพักผ่อนหลังจากการตรวจคนไข้แล้ดูแลเกตุแก้วเขากลับฝันเห็นตัวเองและเกตุแก้วในอดีตชาติทุกๆคืน เป็นเรื่องราวที่มีเมืองฝางเป็นสถานที่ที่เขาและเธออยู่
          “เมื่อคนหนึ่งเกิดมาเพื่อชดใช้ผลกรรมที่เธอไม่เคยรู้ว่าได้ก่อไว้ คนหนึ่งเกิดมาเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในอดีตชาติ” นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปในนวนิยายเรื่องนี้
          เพราะคนเราทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คนทั่วไปมักชอบพูดกันว่า กรรมตามสนอง เกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรม แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่ออย่างจริงๆ จังๆ ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกเชื่อแต่ปาก พูดตามความเคยชิน ที่พูดเช่นนี้เพราะสังเกตว่า คนที่พูดเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว เขาพูดโดยที่ตัวเขาไม่ได้เชื่อว่ามีจริง เพราะถ้าเชื่อว่ากรรมมีจริง ทำไมเขาจึงยังทำความชั่วอยู่อีกคนที่ประพฤติแต่กรรมดีในชาติปางก่อน สิ่งที่ได้รับในชาตินี้คือสิ่งที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ เชื้อชาติ วงศ์ตระกูล รวมทั้งมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มีชีวิตตั้งอยู่บนความสุขสบาย แต่คนที่สร้างผลกรรมแต่ชาติปางก่อน สิ่งเป็นกรรมย้อนกลับคืนสนองในชาตินี้ คือความทุกข์ยากลำเข็ญ รูปร่างหน้าตาชั่วช้าอัปลักษณ์ มีวงศ์ตระกูลที่ต่ำต้อย ดำเนินชีวิตอยู่บนความทุกข์ทรมาน
          แม้ว่าคนเราจะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม แต่คนเรามักจะมีความคิดว่า อีกนานกว่าที่กรรมจะตามทัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้ดูเหมือนว่าการเดินทางของ “กรรม” มันจะรวดเร็ว จนเราคาดไม่ถึง หากสังเกตก็จะพบว่าเวลานี้คนที่สร้างเวรกรรมทำเข็ญกับคนอื่น ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ชาตินี้ผลกรรมก็ตามทันแล้ว คนร้ายที่ยิงคนตายตอนเช้า ปรากฏว่าตอนสายๆ ตำรวจก็ตามจับตัวมาลงโทษได้แล้ว การติดคุกติดตะราง เหมือนไม่ต่างกับการตกนรกทั้งเป็น บางคนทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาติดคุก   ติดตะราง ท้ายที่สุดก็ต้องตรอมใจตายในคุกนั่นเอง เช่นเดียวกับเกตุแก้ว หญิงสาวที่เธอเกิดมาโดยที่เธอไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าในอดีตชาติ เธอได้ทำบาปกรรมเอาไว้อย่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เมื่อเกิดมาในชาตินี้เธอจึงต้องมาชดใช้กรรมที่เธอได้ก่อเอาไว้ ด้วยผลแห่งกรรมทำให้เกตุแก้วเดินทางมายังเมืองฝางที่ซึ่งเคยเป็นบ้านเมืองของเธอเมื่อครั้งอดีตชาติ โชคชะตาฟ้ากรรมกำหนด หรือผลแห่งกรรมทำให้เธอประสบอุบัติเหตุตกน้ำบ่อซาวา บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านและชาวเมืองฝางรู้ดีว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ครั้งอดีตในสมัยเจ้าพญาฝางและพระนางสามผิวยังคงมีชีวิตอยู่
          นวนิยายเรื่องเจ้านางเป็นเรื่องราวความรักของเจ้านางเฮือนแก้วและขุนพันแสงคำ ซึ่งหากในชาติปัจจุบันคือเกตุแก้วและหมอรวินทร์ ซึ่งเมื่อครั้งในอดีตชาติเป็นความรักที่เรียกว่าเป็นรักของคนที่ต่างชนชั้น แม่เจ้านางเฮือนแก้วเป็นถึงหลานสาวของเจ้าเมือง แต่ขุนพันแสงคำเป็นเพียงทหารธรรมดาๆหากแต่เป็นคนฝีมือดี เป็นที่โปรดปรานของเจ้าพญาฝาง ทั้งสองต่างมีใจให้กันแต่ต้องแอบพบกันเนื่องจากเกรงกลัวอาญา แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุให้ต้องพลัดพรากจากกันเนื่องจากเจ้าพญาฝางได้ยกเจ้านางเฮือนแก้วให้แต่งงานกับเจ้าขุนคำเสือ แม้นางจะไม่เต็มใจนักแต่เพื่อบ้านเมืองนางก็จำใจยอม เพื่อให้นางเป็นตัวประกันว่าหากวันหนึ่งเมืองฝางมีเหตุหรือสงคราม ขุนคำเสือจะต้องยกทัพมาช่วยเมืองฝางเพราะเป็นเครือญาติกัน
          ทั้งขุนพันแสงคำและเจ้านางเฮือนแก้วต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอันมาก ทั้งสองร่ำลากันก่อนที่เจ้านางเฮือนแก้วจะเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าขุนคำเสือ และต่างก็เข้าใจดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของบ้านเมือง ทั้งสองมีหน้าที่ปกป้องและดูแลบ้านเมืองจึงจำใจต้องยอมรับความเป็นจริงและอีกประการหนึ่งคือ ทั้งสองเป็นคนต่างชนชั้นกันอยู่แล้วแต่เดิม ดังที่เจ้านางเฮือนแก้วพูดกับขุนพันแสงคำว่า “เฮาสองคนฮู้แก่ใจ๋มาเมินแล้ว ว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ แทนตี้ข้าเจ้าจะห้ามอ้ายตั้งแต่แรก กลับปล่อยหื้อทุกอย่างไปตามใจ๋ตั๋ว จนเฮาต้องมาเจ็บปวดกั๋นทั้งสองคน” และนางก็คร่ำครวญถึงความเสียใจที่มีต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ในขณะที่ขุนพันแสงคำก็เสียใจไม่แพ้กัน เพียงแต่เขาเข้าใจดีว่ามันเป็นหน้าที่ “อ้ายก่บ่ได้ต่างจากน้องนางเลย แต่เฮาทั้สองมีหน้าที่ตี้ต้องรับผิดชอบ สำหรับน้อง ถือว่าเป็นหน้าที่อันใหญ่หลวงต่อไพร่ฟ้าของพ่อเจ้า หื้อได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สำหรับอ้ายก่มีหน้าที่ดูแลเมือง อย่างตี้ได้เคยตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อพ่อหลวงเอาไว้จนตัวต๋าย แลชั่วชีวิตหนึ่งมีวาสนาได้เจอะได้เจอน้อง ก่เปนบุญวาสนาของอ้ายนักหนาแล้ว”
          จนเจ้านางเฮือนแก้วแต่งงานกับเจ้าขุนคำเสือ ทางเมืองฝางก็เกิดสงครามกับพม่าเนื่องจากพญาสุทโธนั้นหลงรักพระนางสามผิวหากแต่นางมีพรสวามีแล้วนั่นคือ เจ้าพญาฝาง พระองค์จึงคิดทำสงครามเพื่อชิงตัวพระนางสามผิวมาเป็นของตน เมื่อทราบข่าวอังวะยกทัพมาตีเมืองฝาง เจ้านางเฮือนแก้วก็ร้อนใจ ทุกข์ใจเป็นอย่างหนัก เพราะพระสวามีไม่ยอมส่งทหารไปช่วยเมืองฝาง ประกอบกับนางไม่มีใจรักในเจ้าขุนคำเสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจึงคิดที่จะหนีกลับเมืองเพื่อไปช่วยป้าและลุงของนาง รวมถึงนางอยากกลับไปช่วยคนรักเก่าของนางในการทำศึกครั้งนี้ด้วย
          แต่ก่อนที่เจ้านางเฮือนแก้วจะเดินทางกลับมายังเมืองฝาง เจ้าขุนคำเสือได้สั่งให้สร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง และให้สลักชื่อของตนและเจ้านางเฮือนแก้วไว้ และเป็นการทำบุญร่วมชาติกัน ดังตอนหนึ่งในเรื่องคือ
          “ดี สร้างพระพุทธรูปตวยกั๋น จะได้เกิดมาเป็นคู่ผัวตั๋วมียกั๋นทุกจาดไป”
          นี่เป็นความเชื่อของคนที่นับถือศาสนาพุทธเมื่อครั้งอดีต ที่เชื่อว่าผู้ใดได้ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันจะได้กลับมาครองคู่กันอีกในชาติต่อๆไป ยิ่งทำบุญด้วยการหล่อพระ สร้างวัดด้วยแล้วถือเป็นการสร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่ร่วมกัน ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองจึงมักจะสั่งให้หล่อพระและสร้างวัดขึ้นในสมัยของตนแล้วสลักชื่อเอาไว้ที่ฐานของพระพุทธรูปองค์นั้น เช่นเดียวกับเจ้าขุนคำเสือที่ให้สร้างวัดและหล่อพระขึ้นในสมัยของพระองค์
          แต่ด้วยความโกรธที่เจ้าขุนคำเสือไม่ยอมส่งทหารไปช่วยเมืองฝาง แถมเจ้าขุนคำเสือยังจะเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูไปตีเมืองฝาง ทำให้เจ้านางเฮือนแก้วไม่อยากทำบุญร่วมชาติ นางจึงคิดที่จะเผาศาลาที่ตั้งพระพุทธรูป เป็นเหตุให้พระพุทธรูปองค์นั้นมีรอยโหว่ตรงพระนลาฏข้างซ้าย (หน้าผากด้านซ้าย) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับบาดแผลของเกตุแก้ว
          “คืนนี้เฮาจะเผาศาลาพระพุทธรูป เพราะเฮาบ่อยากทำบุญร่วมกับเจ้าขุนคำเสือ จบกั๋นแต่เพียงจาดนี้ จาดหน้าบ่อต้องตามไปเจอกั๋นแถม” นางประกาศด้วยความจงเกลียดจงชัง เป็นเหตุให้พระพุทธรูปองค์นั้นมีรอยโหว่ตรงพระนลาฏข้างซ้าย (หน้าผากด้านซ้าย) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับบาดแผลของเกตุแก้ว นี่เป็นการสร้างเวรกรรมอันใหญ่หลวงโดยไม่รู้ตัวของเจ้านางเฮือนแก้ว ก่อนที่นางจะหนีกลับไปเมืองฝางได้สำเร็จ โดยมีคำมา และเมืองจื้น สองสามีภรรยาที่เป็นทั้งเพื่อนคนสนิท และเปรียบเสมือนพี่น้องของนางคอยช่วยเหลือ เมื่อนางกลับมาถึงเมืองฝางนางเห็นสภาพบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยเขม่าดิน ร่องรอยจากการถูกเผา ผู้คนในเมืองดูอิดโรย นั่งพักพิงอยู่โดยรอบนางยิ่งแค้นที่เจ้าขุนคำเสือไม่รักษาสัญญา และหลังจากนั้นสามเดือนนางได้แต่งงานกับขุนพันแสงคำคนรักเก่าของนางที่พลัดพรากกันด้วยหน้าที่ และทั้งสองสัญญาว่า “จะรักกันจนกว่าความตายจะมาพราก ไม่เพียงแต่ชาตินี้ แต่จะขอรักและภักดีต่อกันทุกชาติไป”
          หลังจากทั้งคู่แต่งงานกันครบหนึ่งปี หลายๆอย่างในบ้านเมืองดูแย่ลง ข้าวในยุ้งฉางก็หมดลงทุกที ผู้คนล้มตายจากสงครามไปทีละน้อย จนเจ้าพญาฝางตัดสินใจให้เปิดประตูเมืองให้ศัตรูเข้ามา ส่วนตนและชายาคือพระนางสามผิวได้เดินทางไปที่บ่อน้ำซาวาเพื่อสวดมนต์ และทั้งคู่ก็ตัดสินใจกระโดดลงไปในบ่อน้ำซาววา ต่อหน้าพระยาสุทโธผู้ที่ใฝ่ปองพระนางสามผิว ผู้ที่นำมาซึ่งศึกสงครามยืดเยื้อกว่าสาวปี และที่แห่งนี้เป็นการจบชีวิตของเจ้านางเฮือนแก้ว ขุนพันแสงคำ คำมา และเมืองจื้นด้วย เพราะเจ้าขุนคำเสือต้องการเจ้านางเฮือนแก้วกลับไปยังเวียงแข่แต่นางไม่ยอม จึงเกิดการต่อสู้กัน ทำให้คำมาและเมืองจื้นต้องตาย ต่อมาคือขุนพันแสงคำแต่ก่อนที่ขุนพันแสงคำจะสิ้นใจได้สาบานกับเจ้านางเฮือนแก้วว่า “เฮาจะเปนผัวเมียกั๋นทุกจาดไป” และอีกหลายต่อหลายครั้งที่ขุนพันแสงคำได้กล่าวคำสาบานว่าจะรักเจ้านางเฮือนแก้วทุกชาติไป “อ้ายขอฮื้อพระแม่คงคาเป็นพยาน ว่าอ้ายจะขอดูแลและจงรักภักดี เป็นข้ารองบาทเจ้านางเฮือนแก้วไปจนกว่าจะสิ้นลม ไม่เพียงแต่จาดภพนี้ แต่ขอตามไปดูแลน้องนางทุกจาดไป”
          เมื่อเห็นสามีสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา เจ้านางเฮือนแก้วก็ตัดสินใจใช้ดาบที่เจ้าขุนคำเสือใช้แทงขุนพันแสงคำมาปาดคอตัวเอง และก่อนที่วิญญาณจะหลุดออกจากร่าง นางได้สวดมนต์ภาวนาให้ได้ครองรักกับขุนพันแสคำทุกชาติไป และอย่าได้พบเจอเจ้าขุนคำเสืออีกเลย นับเป็นความกล้าหาญและความจงรักภักดีต่อสามีและต่อบ้านเมืองของหญิงไทยในอดีต เพราะแม้ว่าบ้านเมืองจะเกิดศึกสงครามหนักหนาสักเพียงใด ผู้หญิงก็ไม่เคยหวั่นเกรงต่อสิ่งอันตรายใดๆ ยังคงทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี หุงหาอาหารให้กับคนที่บ้านรวมถึงสามี อีกทั้งรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก
          ด้วยแรงอธิฐานของเจ้านางเฮือนแก้ว ขุนพันแสงคำ คำมา และเมืองจื้น ทำให้ทั้งหมดนี้ได้กลับมาเกิดในภพชาติใหม่ และได้เกิดมาเป็นเพื่อนกันดังคำมั่นสัญญาที่ให้เอาไว้เมื่อชาติก่อน เมื่อเจ้านางเฮือนแก้วกลับมาเป็นเกตุแก้ว ขุนพันแสงคำคือรวินทร์ คำมาคือ อภิญญาน้องสาวของและวินทร์ และเมืองจื้น คือ บุรินทร์ ทุกคนล้วนแต่มีกรรม และต้องเกิดมาเพื่อชดใช้และทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันเมื่อชาติที่ที่แล้ว
          การที่เราได้พบเจอกับใคร ไม่ว่าจะผูกพันกันในฐานะไหน เกื้อกูลกันในลักษณะใด ทั้งทางโลก ทางธรรม ทางธุรกิจ ฯลฯ เกิดจากกรรมที่แต่ละคนสะสมเหตุมาในลักษณะนั้น ๆ
          กรรม หมายถึง การกระทำ บางคนก็เรียกผลของการกระทำว่า กรรม เพราะ กระทำเหตุแล้วมีผล แต่ในที่นี้แยกผลของกรรม เรียกออกมาว่า เป็น วิบาก (วิบากกรรม) ทำกรรมอย่างไรก็ส่งผลให้ได้รับอย่างนั้น เกิดมาหล่อ สวย รวย จน ได้รับความสุข ทุกข์ เกิดเป็นมนุษย์ก็มีเกิดแล้วจะต้อง แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก เศร้าโศก เพราะความไม่รู้ทำให้หลงกระทำกรรมด้วยกิเลส เมื่อทำกรรมแล้วก็จะวนให้ได้รับผลนั้น และกิเลสตัวนั้น ๆ เรื่องนั้น ๆ ก็ยังสะสมนอนอยู่ในใจเรา ก็จะวนพาให้อยากทำตามกิเลสเดิม ๆ สะสมมากก็เป็นนิสัยสันดาน กลายเป็นคนขี้โกรธ อ่อนแอ เจ้าชู้ ฯลฯ แล้วแต่ใครจะสั่งสมมา แล้วก็เวียนให้ไปทำกรรม รับทุกข์อีก กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน ที่จะไม่ยอมรับเพราะบอกว่าเราดีกับเขา แต่เขาไม่ดีกับเรานั้นจึงเป็นการเข้าใจผิดของเราเองที่ว่า เราทำกรรมกับคนนี้อย่างไร คนนี้จะต้องทำกรรมแบบเดียวกันกับเราคืนมาเช่น เราคิดว่าเราดีกับแฟนคนนี้ แฟนคนนี้ก็ต้องดีกับเรา จึงจะเรียกได้ว่า ทำดีได้ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กรรมจะเลือกจัดสรรให้เราได้รับผลทั้งร้ายและดีที่เราเคยทำไว้แน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับตอบจากคน ๆ เดิมที่เราเคยทำเสมอไป
          กรรมที่เราประสบพบในวันนี้ อาจเป็นกรรมที่ทำไว้ในชาติที่แล้ว แต่บางเรื่องถ้าเจอบ่อย ๆ ก็เป็นได้ว่าเป็นกรรมที่ทำในชาตินี้โดยสั่งสมเหตุมานานแล้ว บางครั้งเราคิดว่าทำดีไม่ได้ดีเพราะเราดีกับคนนี้แต่คนนี้กลับทำไม่ดีกับเรา ทั้งที่จริงก็คือเรากำลังรับผลของกรรมเก่า ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วต้องได้รับผลกรรมดีที่เราทำวันนี้ อาจจะได้รับจากอีกคนในอนาคต ให้ไปทางซ้ายไม่จำเป็นว่าต้องกลับมาจากทางซ้าย อาจกลับมาจากทางขวา ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ก็ได้ กรรมไม่ดีก็ส่งผลแบบเดียวกัน เช่น เอาแต่ใจกับคนมาเยอะ เอาแต่ใจกับคนในบ้าน ก็ทำให้มีแฟนหรือลูกที่เอาแต่ใจ และต้องตามใจเขาบ้าง พูดจาไม่ดีกับคนอื่นไว้มาก ก็จะทำให้ต้องไปอยู่ในแวดวงคนที่พูดจาไม่ดี ไม่รักษาน้ำใจ คนที่เขามาทำกรรมกับเรา ก็จะต้องไปเสวยผลที่เขาทำ ไม่จำเป็นว่าต้องได้รับจากเรา รับจากคนอื่นก็ได้ส่วนเราก็เช่นกัน ที่ได้รับกรรมเช่นนี้ก็แปลว่าเรากรรมเช่นนี้มา อาจจะไม่ได้ทำกับคนนี้ เจ้ากรรมนายเวรเป็นคนอื่นก็ได้ เช่นเดียวกับเกตุแก้ว หรือเจ้านางเฮือนแก้ว ที่มีกรรมติดตามตัวมาเมื่อครั้งชาติที่แล้ว เนื่องจากเจ้าขุนคำเสือโกรธแค้นที่เจ้านางเฮือนแก้วรักขุนพันแสงคำมากกว่าต้นเอง นางหนีกลับไปเมืองฝาง และแต่งงานกับขุนพันแสงคำ มิหนำซ้ำยังยอมฆ่าตัวตายตามขุนพันแสงคำ ผู้ที่พระองค์คิดว่าเป็นชู้ของเจ้านางเฮือนแก้ว และก่อนที่เจ้านางเฮือนแก้วจะหนีออกไปจากเมืองเวียงแข่ นางยังลอบเผาศาลาที่ตั้งพระพุทธรูปที่พระองค์สั่งให้สร้างขึ้นเพื่อจะสร้างวัดร่วมกับนาง ซึ่งเป็นการทำบุญร่วมกันครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้พระพุทธรูปเป็นรูโหว่ที่พระนลาฏด้านซ้าย (หน้าผากซ้าย) ทำให้เจ้าขุนคำเสือโกรธแค้นนางมาก ทำให้พระองค์สาปแช่งนางโดยใช้สายสิญจน์พันรอบองค์พระ พร้อมให้ชายชุดขาวบริกรรมคาถา เจ้าขุนคำเสือประกาศเสียงดังว่า “เฮาของสาปแช่ง...ขอหื้อเฮือนแก้ว เมียตี้หันชู้ดีกว่าผัว ได้ฮับกรรมตี้นางทำเอาไว้ พระพุทธรูปต๋นนี้เปนพยายาน เจ้าป่าเจ้าเขา ผีปู่ผีย่า ผีบ้านผีเมืองเปน พยาน ข้าขอสาปแช่ง อย่าหื้อนางได้เจอะเจอชู้ของนางแถม บ่ว่าจาดหน้าหรือจาดใด ๆ ถ้าเจอก่อย่าได้เจอเปน หื้อได้พลัดพรากกั๋นทุกจาดไป” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกตุแก้วและรวินทร์สวนทางกันไม่ได้เจอกัน จนเกตุแก้วเกิดอุบัติเหตุเป็นนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นผลมาจากคำสาปแช่งของเจ้าขุนคำเสือ และมีรวินทร์มาคอยดูแล ซึ่งก็มาจากคำอธิษฐานเมื่อชาติที่แล้วว่าจะคอยตามรักและดูแลนางทุกชาติไป โดยมีบุรินทร์และอภิญญา ตามมาเป็นเพื่อนและมาคอยช่วยเหลือซึ่งเป็นผลมาจากกรรมที่ทำมาร่วมกัน และคำอธิษฐานก่อนสิ้นลมของคนทั้งสี่
          เจ้ากรรมนายเวรจะเป็นพ่อ แม่ ลูก เพื่อน แฟน อะไรได้หมด ถ้าทำกรรมเช่นนี้ไว้เบาบาง ก็อาจถูกกระทำตอบกลับจากคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากมาย เจ็บครั้งหนึ่งก็ลืม แต่ถ้าสั่งสมทำกรรมเช่นนี้ไว้มาก ก็จะผูกให้ไปพบคนที่มากระทำในรูปแบบที่แกะออกได้ยาก เช่น พ่อแม่ ลูก แฟน อยู่ในสภาพที่ส่งให้เรายึดไว้แน่น รู้ทั้งรู้ แต่ยังถูกดูดเข้าไปใช้กรรม หรือบางครั้งกรรมก็ลวงว่าคือความสุข ให้หลงไปใช้ เข้าใจว่าเข้าไปใช้แล้วน่าจะดีและกรรมบางชนิด ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็หนีไม่พ้น เพราะกรรมส่งผลที่ความรู้สึก
          ทางแก้ไขข้อแรกของการหลุดออกจากวงจรทุกข์ในเรื่องหนึ่ง ๆ คือการสำนึกและตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์แบบเดียวกันกับที่เราได้รับอยู่นี้ เข้าใจแล้วว่าผู้ถูกกระทำรู้สึกเช่นไร เป็นการตัดเหตุกิเลส ที่พาให้เรากระทำกรรมแล้วต้องมาทุกข์เรื่องเดิม ๆ เป็นการตัดกรรมให้อภัยกับผู้ที่มาทำไม่ดีกับเรา (เขาเข้ามาตามกรรมเรา) และหากระลึกได้ว่าเคยกระทำเช่นนี้ไว้กับใคร ก็ไปขอโทษ ขอโหสิกรรม ด้วยใจที่ระลึก สำนึกในความผิด เพื่อเป็นการตัดเวรแล้วก็ตั้งใจหยุดสร้างเหตุไม่ดีต่อเนื่องอื่น ๆ เช่น ถ้ากรรมยังไม่หมด อีกฝ่ายอาจจะยังทำร้ายจิตใจเราอยู่ เราก็ไม่ตอบโต้กลับด้วยโทสะ เช่น การต่อว่า เป็นต้น
          ส่วนกรรมจะหมดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเราสร้างเหตุนั้นมานานแค่ไหน เหมือนสร้างเหตุปลูกเป็นต้นไม้ใหญ่ เมื่อหยุดให้น้ำแล้ว อย่างไรต้นไม้ก็ต้องตาย แต่อาจต้องรอนาน แต่ถ้ายังรดน้ำ ให้ปุ๋ย ก็ไม่มีทางหมดไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องยอมรับกรรมโดยที่ไม่คิดทำอะไรดี ๆ เลย แค่แนะนำให้ไม่ทำไม่ดีกลับ แต่ไม่ได้แนะนำว่าอย่าทำอะไรนะ เช่น ถ้าเขาทำร้ายร่างกาย หลบได้ก็หลบนะ หนีได้ก็หนีแค่ไม่ตีกลับ แต่ถ้าเป็นกรรมเรื่องความรู้สึก หนีได้ แต่มันจะยังคงส่งผลที่ความรู้สึกอยู่ดี แต่เรารู้ว่าเขาไม่ใช่ ก็ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อ ต่อเหตุกรรมเบาบางลงเมื่อไหร่ ความหลงก็จะลดลง จะจางลงพร้อมๆกับความทุกข์ ใช้หลักข้อนี้ในการแก้กรรมเป็นสำคัญ เราเรียกการไม่สร้างเหตุให้ผู้อื่นต้องทุกข์เพื่อตนเองจะต้องมารับผลว่า ศีล แล้วจะทำสังฆทาน ทำทานช่วยเสริมด้วยก็ได้ เพราะการทำทานเป็นการฝึกสละ สิ่งของ เงิน ปัญญา เวลา หรืออะไรที่เรา “ยึด” ว่าเป็นของเราเพื่อผู้อื่น ผลคือจะทำให้จิตใจคลายความยึด กับทั้งผู้รับก็ได้ประโยชน์ เราสามารถกรวดน้ำอุทิศบุญนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร แต่เนื่องจากกรรมที่เราทำมาด้วยความไม่รู้มีนับไม่ถ้วนเท่ากับที่เราหลงเกิดมานาน การแก้กรรมไปเรื่อย ๆ จึงไม่ใช่ทางออกของความทุกข์ที่แท้จริง รูปแบบการเดินทางของจิตในสังสารวัฎส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะวน ที่จะมีทางที่แน่ชัด ตรง มีอยู่ทางเดียวคือเดินทางธรรม เพราะกิเลส ความไม่รู้ มันพาเราหลงไปซ้ายที ขวาที สับสนไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต ชีวิตขึ้นอยู่กับวิบากกรรม สิ่งแวดล้อม เสียงข้างนอก คนรอบข้าง จะพาไปทางไหน
          เราจะเริ่มอยู่เหนือกรรมเมื่อเรารู้เท่าทัน และมีเป้าหมายที่ชัดเจน การเดินไปทางตรง คือการมีธรรมเป็นที่พึ่ง การเดินไปทางนิพพานคือการเจริญมรรค การภาวนาทางแก้เบื้องปลายของทุกข์ในเรื่องความรักจึงทำได้ด้วยการภาวนา การภาวนาแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ การทำสมถะและวิปัสสนา
การทำสมถะช่วยให้ใจสงบลงจากกิเลสชั่วคราว บรรเทาการฟุ้ง คิดมาก เพราะอยากในกาม เพราะโกรธแค้น  หรือกิเลสต่าง ๆ เพื่อให้จิตมีคุณภาพพอที่เจริญวิปัสสนา เช่น คนทั่วไปขณะที่กำลังทุกข์มาก ก็เอาแต่คิดไม่หยุด คิดทีไรก็คิดไปในทางเพิ่มทุกข์ อารมณ์แบบนี้ไม่เอื้อต่อการให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง หรือมีกรรมอยู่ รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่เห็นทางชัดดี แต่ก็โดดไปทำสิ่งต่าง ๆ มั่ว ผลที่ได้คือการลองผิดลองถูก
          เมื่อจิตสงบลงแล้ว นำมาเจริญวิปัสสนาต่อ ภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป วิปัสสนาจะช่วยให้จิตเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง เห็นตามจริง ก็คือเห็นตรง คือ  ให้เห็นว่า กายใจนี้ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวน เมื่อกายใจเรายังสั่งควบคุมไม่ได้ เป็นไปตามอำนาจกรรมที่ทำให้หลง ภาวนาไปจนจิตคลายความสำคัญผิด เห็นว่ากายใจเรายังไม่ใช่ของดี ไม่น่าครอบครอง เราก็จะไม่หลงอยากครอบครองคนอื่น เมื่อไม่มีตัวเรา ก็ไม่มีผู้แบกทุกข์ระหว่างทางจนกว่าจะถึงทางที่สุด คือนิพพาน ที่ใจถอนความเห็นผิดและเหตุแห่งทุกข์ได้หมดแล้ว การมีคนรักก็เหมือนมีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมเป้าหมาย ที่พากันส่งเสริมกันไปทางนี้เท่านั้น
          รักแท้จะมีได้เมื่อใจเราหมดกิเลส ความรักจึงไม่ขึ้นลงตามอารมณ์ และความไม่รู้ เมื่อหมดกิเลส ก็สงบ เป็นสุข ตลอดไป เข้าถึงความรักที่ให้ต่อใครได้อย่างไม่เป็นทุกข์อีกเลย การเชื่อมบุญนั้น นอกจากจะใช้ในทุกสิ่งที่ปรารถนาในชีวิตแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน  ความสัมพันธ์ที่ดี  การทำธุรกิจการค้า ยังใช้ในเรื่องของความรักที่สมหวังได้ด้วยการเชื่อมบุญนั้น เป็นการอุทิศบุญที่เราทำไปให้คนที่เราต้องการ ก่อนอื่นอย่าลืมว่าต้องมีบุญของตนเองเสียก่อนถึงจะไปอุทิศบุญให้คนอื่นได้  ซึ่งการสร้างบุญการเชื่อมบุญในเรื่องของความรัก  ไม่ใช่เรื่องของไสยศาสตร์ ไม่ใช่เป็นการทำเสน่ห์แต่เป็นการเช็คและแก้ไขเบื้องต้นว่า คนที่เรารักชอบพอนั้นใช่เนื้อคู่ที่จะมาเป็นคู่ครองในชาตินี้หรือไม่ คู่ครองนั้น ถ้าได้คนที่เป็นเนื้อคู่ประเภทที่ทำบุญมาร่วมกัน ชีวิตคู่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ถ้าเราเชื่อมบุญติด จะพบว่าคนที่เรารักชอบพอนั้นจะมีปฎิกริยาที่ดีต่อกัน มีความห่วงหาเกื้อกูลกันช่วยกันไปสร้างสิ่งที่ดี ๆ ไม่ใช่ไปสร้างกรรมชั่ว เช่น ชวนไปกินเหล้า เที่ยวเตร่ ชวนไปสร้างกรรมไม่ดี ไปคดโกงเบียดเบียนคนอื่นแบบนี้ ไม่ใช่คู่ครองที่ดีแน่นอนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาหรือเธอไม่ได้มาหลอกลวง แกล้งทำเป็นคนดีในตอนแรก แต่ภายหลังชั่วสุดๆเรื่องนี้ง่ายมาก ขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าเป็นคู่กันแล้วขอให้เกิดสิ่งดีดีขึ้นกับชีวิตเมื่อคบกับเขาหรือเธอ ชีวิตของเราดีขึ้นหรือไม่ การเรียนดีขึ้นหรือไม่ การค้าขายดีขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ อาจจะเป็นเนื้อคู่จริงแต่เคยร่วมสร้างกรรมไม่ดีมากกว่ากรรมดีการคลายวิบากกรรมนี้ ก็ใช้วิธีเชื่อมบุญได้เช่นกัน ด้วยการอุทิศบุญที่เราทำส่งไปให้เขาหรือเธอสม่ำเสมออธิษฐานทุกครั้งขอให้เขากลับใจเปลี่ยนความประพฤติที่ไม่ดีเสียให้กลับมาพบทางสว่างในชีวิตตัวเราเองก็สำคัญหมั่นพิจารณาความประพฤติของตนด้วยว่าเป็นอย่างไร พยายามทำตนให้อยู่ในความสมดุลทั้งทางโลกและทางธรรม และต่อไปจะพูดถึงเคล็ดในการคลายวิบากกรรมต่างๆ  แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่าต้องใช้สติในการพิจารณา เป็นทุกข์ เพราะความรัก ... ความรัก ไม่สมหวัง
          ความรักของเกตุแก้วและรวินทร์เป็นความรักที่มีผลสืบต่อมาจากการกระทำในชาติก่อน หรือเรียกว่าเกิดตามกันมาเพราะกรรมของตนเอง เกิดมาตามคำอธิษฐาน เกิดมาชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้ เมื่อคนหนึ่งต้องชดใช้กรรม และอีกคนหนึ่งต้องตามมาช่วยเหลือ แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันนั่นคือ คำอธิษฐานและคำสัญญาว่าจะเกิดมารักกันทุกชาติไป ดังเช่น กลอนสุภาพของท่านสุนทรภู่ จากเรื่องพระอภัยมณี ความว่า
                   “แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
          พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
          แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
          เชยผกาโกสุมประทุมทอง
                   แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์
          จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
          ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
          เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป”
                                                                                                สุนทรภู่

          “หากวันนี้คุณยังไม่เจอรักแท้ หรือคนที่รักคุณจริง ๆ จงอย่าโทษตัวเองว่าเป็นคนไม่ดีพอไม่เหมาะสมหรือไม่คู่ควรกับใคร มันอาจเป็นเพราะกรรมเก่าหรือแรงอธิษฐานของคุณกับใครสักคนในชาติที่แล้ว คำสัญญาว่าจะกลับมาครองคู่กันอีกในชาตินี้และทุกชาติไป เพียงแค่ในวันนี้คุณยังหากันไม่เจอก็แค่นั้นเอง แต่หากวันนี้คุณได้เจอรักรักแท้ เจอคนที่คุณรู้สึกผูกพันอยู่ด้วยแล้วรู้สึกมีความสุขและรู้สึกอบอุ่น นั่นเพราะคู่ของคุณมีบุญต่อกันเยอะ ชาตินี้เลยพบเจอกันเร็ว บางคู่อาจจะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย หรือบางคู่อาจจะไม่มีเลย หรือบางคู่มีอุปสรรคมากมายกว่าจะได้ครองคู่กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เคยทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอดีตชาติ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรความรักก็ยังคงเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอหากรักนั้นปราศจากความอาฆาตแค้น และการพยาบาท ความรักจะยังคงงดงามเสมอหากรักนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์ เป็นรักที่ต้องการเพียงแค่ดูแล ต้องการแค่รักใครสักสักคนและได้ทำเพื่อเขาหรือเธอคนนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจ ดังเช่นความรักของขุนพันแสงคำที่มีต่อเจ้านางเฮือนแก้วเมื่อครั้งอดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ และตลอดไป”







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดอกไม้ในวรรณคดีไทย

เที่ยวเมืองเบตง